เอไอเอส มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยก้าวสู่ประเทศไทย 4.0 ผ่านแนวคิด “Digital For Thais” ใน 4 แกนหลักที่เป็นหัวใจสำคัญของประเทศ ทั้งด้านการศึกษา การเกษตร สาธารณสุข และธุรกิจสตาร์ทอัพ หนุนการนำดิจิทัลส่งเสริมการทำงานของภาครัฐ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้เข้มแข็ง เพื่อร่วมสร้างประโยชน์และคุณค่าให้แก่สังคมและประเทศชาติ
เมื่อวันที่8สิงหาคม2561 นายพงษ์ศักดิ์ ตันวิสุทธิ์ หัวหน้าส่วนงานดิจิทัลฟอร์ไทย บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส กล่าวว่า “เอไอเอส ในฐานะที่มีโครงสร้างพื้นฐานสื่อสารโทรคมนาคมครอบคลุมทั่วประเทศ จึงมุ่งมั่นในการนำนวัตกรรมดิจิทัลไปช่วยเสริมความแข็งแรงในรากฐานหลักของประเทศ ผ่านแนวคิด “Digital For Thais” โดยนำดิจิทัลเข้าไปเพิ่มศักยภาพ สร้างโอกาสการเข้าถึงและความเท่าเทียมกันของเทคโนโลยีไปสู่ประชาชน เพื่อขับเคลื่อนประเทศก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทั่วประเทศให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นฐานหลัก 4 ด้านที่เป็นหัวใจสำคัญของประเทศ ทั้งด้านการศึกษา การเกษตร สาธารณสุข และธุรกิจสตาร์ทอัพ
โดยเอไอเอสได้เพิ่มโอกาสทางการศึกษาและประสบการณ์ให้แก่เด็กและเยาวชนไทยได้เข้าถึงแหล่งข้อมูลทั้งวิชาการและสาระบันเทิง เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้นอกห้องเรียนให้แก่เด็กและเยาวชนให้ก้าวทันโลกอย่างเท่าเทียมกัน ในโครงการ “สานรัก สานความรู้” ด้วยการติดตั้งเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงและมอบกล่อง AIS สานรัก สานความรู้ ซึ่งมีเนื้อหาเป็นดิจิทัลคอนเท้นต์ต่างๆ ที่ครบทั้งสาระ ความรู้และความสนุกสนาน มาช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชนไทย ซึ่งปัจจุบัน ได้ติดตั้งกล่องสานรักสานความรู้ให้กับโรงเรียนต้นแบบไปแล้ว จำนวน 34 แห่งทั่วประเทศ
ด้านการเกษตร เอไอเอส ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาส่งเสริมการทำงานของเกษตรกรไทยก้าวไปสู่การเป็นเกษตรกร 4.0 ด้วยแนวคิด “สอน เสริม สร้าง” ผ่านแพลตฟอร์มฟาร์มสุข เพื่อส่งเสริมความรู้ให้เกษตรกรเข้าถึงข้อมูลสำคัญในการทำการเกษตร คลังความรู้และภูมิปัญญาต่างๆ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในแปลงเพาะปลูกจากอุปกรณ์ NB-IOT ข้อมูลราคาซื้อ-ขายผลผลิตทางการเกษตร รวมไปถึงข้อมูลด้านการพยากรณ์อากาศที่มีความความแม่นยำสูง เพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิตของเกษตรกรให้สูงขึ้น รวมทั้งยังได้พัฒนาแพลทฟอร์มร้านฟาร์มสุข เพื่อเป็นช่องทางการตลาดให้เกษตรกรสามารถขายสินค้าทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป รวมถึงสินค้าที่เป็นภูมิปัญญาของชุมชน หรือ OTOP โดยเกษตรกรสามารถกำหนดราคาขายได้เองตามความเหมาะสม ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนและช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรง ขณะนี้ ร้านฟาร์มสุขมีร้านค้า จำนวน 273 ร้านค้า มีจำนวนสินค้า 1,517 รายการ
นอกจากนี้ ยังได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปส่งเสริมการทำงาน ด้านสาธารณสุข โดยสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อสังคมไทย “แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์” เครือข่ายสังคมออนไลน์เฉพาะกลุ่ม เพื่อเป็นเครื่องมือสื่อสารในการปฎิบัติงานด้านสาธารณสุขชุมชนเชิงรุกของหน่วยบริการสุขภาพ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารข้อมูล ภาพ เสียง วิดีโอ ข้อความ พิกัดแผนที่ระหว่างสมาชิกในกลุ่มผ่านรูปแบบการแจ้งข้อมูล การสนทนา ทำให้สมาชิกในเครือข่ายสามารถรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร ความเคลื่อนไหวด้านสาธารณสุขและภัยสุขภาพในชุมชนได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำ ส่งผลให้การทำงานของหน่วยบริการสุขภาพ และอสม. มีประสิทธิภาพมากขึ้น และประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพได้อย่างทั่วถึง ที่สำคัญแอปฯอสม.ออนไลน์ สามารถใช้งานได้กับทุกเครือข่าย แต่เมื่อใช้งานบนเครือข่ายเอไอเอสจะไม่เสียค่าบริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งปัจจุบัน หน่วยบริการสุขภาพและรพ.สต.เปิดใช้งานแอปฯอสม.ออนไลน์แลัว จำนวน 2,264 แห่งทั่วประเทศ และมีผู้ใช้งานจำนวน 38,687 คน โดยในปีนี้จะขยายการใช้งานแอปฯอสม.ออนไลน์ ไปยังระดับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัด และสาธารณสุขอำเภอ ด้วยการสร้างต้นแบบการใช้งานในพื้นที่ต่างๆ
สำหรับธุรกิจสตาร์อัพ และผู้ประกอบการดิจิทัล เอไอเอส ได้ร่วมส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพ รวมถึงผู้ประกอบการในระดับชุมชน โดยนำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลไปสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการต่างๆเพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจ และพัฒนาสินค้าให้สามารถเติบโตในเชิงธุรกิจทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศได้อย่างยั่งยืน ซึ่งการส่งเสริมกลุ่มสตาร์อัพอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดข้อจำกัดในการสร้างธุรกิจให้กลุ่มสตาร์ทอัพได้มีโอกาสเติบโตมากยิ่งขึ้น รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์คอนเทนต์และบริการดิจิทัลออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศตอบสนองนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างแท้จริง”
ด้าน นายพรรัตน์ เจนจรัสสกุล หัวหน้าส่วนงานปฎิบัติการภูมิภาค-ภาคเหนือ เอไอเอส กล่าวว่า “ทางสำนักงานภาคฯ ได้ขยายโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อรองรับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทั้ง 4 ด้านให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนและสังคม โดยด้านการศึกษา เอไอเอสได้มุ่งเน้นการขยายโอกาสให้แก่โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ผ่านโครงการ “สานรัก สานความรู้” ด้วยการติดตั้งกล่องสานรัก สานความรู้ให้แก่โรงเรียนต้นแบบในภาคเหนือไปแล้ว จำนวน 13 แห่ง เพื่อให้เด็กในโรงเรียนเหล่านี้ได้มีโอกาสเปิดโลกทัศน์และเข้าถึงข้อมูลอย่างเท่าเทียมกัน
สำหรับด้านการเกษตร เอไอเอส ได้ส่งเสริมเกษตรกรในท้องถิ่นให้เป็นเกษตรกร 4.0 โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลและศักยภาพขององค์กรไปเพิ่มพูนความรู้และสร้างช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ผ่านร้านฟาร์มสุข โดยขณะนี้ในพื้นที่ภาคเหนือ มีร้านค้าที่นำสินค้ามาจำหน่ายบนร้านฟาร์มสุข จำนวน 51 ร้านค้า สินค้า จำนวน 291 รายการ เช่น ลำไยอบแห้ง จากร้านอุ้ยคำ จังหวัดเชียงราย ข้าวแต๋นอาร์ซีอาร์ จากจังหวัดลำปาง กล้วยแปรรูป ร้านเทพประทานพร จากจังหวัดพิษณุโลก เป็นต้น
ด้านสาธารณสุข การให้บริการสาธารณสุขชุมชนในพื้นที่ห่างไกลเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการพัฒนาแอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ ให้เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างรพ.สต.และอสม.จะช่วยส่งเสริมการดูแลสุขภาพของคนในชุมชน ทำให้สามารถป้องกัน และเฝ้าระวังโรคระบาดในพื้นที่ได้รวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ โดยขณะนี้ ในพื้นที่ภาคเหนือ มีหน่วยบริการสุขภาพ และรพ.สต. นำแอปฯอสม.ออนไลน์ไปใช้ในการดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่แล้ว จำนวน 620 แห่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเครือข่ายอสม.ในภาคเหนือ ก้าวไปสู่ อสม.4.0 สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปใช้ในระบบการทำงานด้านสาธารณสุข
ด้าน Start Up และผู้ประกอบการยุคดิจิทัล โดยในระดับชุมชนพื้นที่ภาคเหนือ เอไอเอส ได้ร่วมมือกับศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคเหนือ จังหวัดลำปาง นำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลไปส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนและสตรี ให้สามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปประยุกต์ใช้ในการแข่งขันและเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตลาดออนไลน์ได้อย่างมีคุณภาพ และสำหรับกลุ่ม สตาร์ทอัพ ในจังหวัดเชียงใหม่ เอไอเอส ได้ส่งเสริมกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพ จำนวน 13 ราย เพื่อสนับสนุน ต่อยอดความคิด สร้างผลงาน และเกิดธุรกิจจริงได้ โดยมี Mentors ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ มาแชร์องค์ความรู้ในการบริหารจัดการธุรกิจในทุกๆ ด้าน
“สิ่งเหล่านี้ คือความมุ่งมั่นของชาวเอไอเอส ที่จะนำขีดความสามารถทั้งแรงกาย แรงใจ และองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ไปร่วมสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานหลักของประเทศมีความแข็งแกร่ง พร้อมที่จะก้าวสู่ ไทยแลนด์ 4.0 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป”